ผ้าที่เราเห็นตามทั่วไปมีหลายชนิดและหลายประเภทมากๆ วันนี้จะพามาดูลักษณะเนื้อผ้าประเภทต่างๆ ตามชนิดของเส้นใย ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ ผ้าจากเส้นใยธรรมชาติ (Types of Natural Fabrics) ผ้าจากเส้นใยสังเคราะห์ (Types of Synthetic Fabrics) ไปดูกันว่าเส้นใย 2 ชนิดนี้ มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
1. ผ้าจากเส้นใยธรรมชาติ (Types of Natural Fabrics)
เส้นใยธรรมชาตินั้น มีมากอยู่พอสมควรครับ ซึ่งโดยหลักแล้วนั้น เส้นใยธรรมชาติ จะสวมใส่สบาย ไม่ระคายเคืองผิว
ผ้าฝ้าย (Cotton Fabric)
เป็นผ้าที่ทำมาจากเส้นใยธรรมชาติ มีกระบวนการผลิตคือการนำเส้นใยของปุยฝ้ายมาปั่นจนเกิดเป็นเส้นด้าย คุณสมบัติของผ้าฝ้าย (Cotton) เนื้อผ้านุ่ม มีความบางเบา ระบายอากาศได้ดี สวมใส่สบาย แต่จะรีดยาก ในปัจจุบันมีการพัฒนาให้เส้นด้ายมีประสิทธิภาพที่ดีมากขึ้นในการผลิตเป็นเสื้อผ้า โดยวิธีการดูแลรักษาผ้า Cotton ก็ไม่ยาก สามารถซักกับเครื่อง หรือจะซักด้วยมือก็ได้ และยังสามารถรีดโดยใช้ความร้อนที่อุณหภูมิสูงได้อีกด้วย
ผ้าไหม (Silk Fabric)
ผ้าชนิดนี้ผลิตมาจากใยไหม ซึ่งมาจากโปรตีนของรังไหม แล้วนำมาปั่นให้เกิดเป็นเส้นด้าย เหมือนกับผ้าคอตตอนนั่นเอง คุณสมบัติของผ้าไหม (Silk) ให้สัมผัสที่นุ่มสบาย เงางาม ไม่ยับง่าย ดูดความชื้นได้ดี ปรับตัวได้อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง และสามารถคงสภาพของผ้าไว้ได้ดี ส่วนการดูแลรักษาอาจจะต้องดูแลเป็นพิเศษนิดนึง เพราะเวลาซักถ้าหากใช้ผงซักฟอกที่มีกรดแรงจะทำลายเนื้อผ้าเอาได้ จึงควรซักด้วยผงซักฟอกที่มีฤทธิ์อ่อนเท่านั้น
ผ้าลินิน (Linen Fabric)
เส้นใยลินินเป็นเส้นใยที่ได้มาจากพืช ต้นแฟล็กซ์ (Flex) นิยมปลูกกันที่ทวีปยุโรป โดยนำมาปั่นแล้วถักทอจนเกิดเป็นผืนผ้าลินิน คุณสมบัติของผ้าลินิน (Linen) เป็นเส้นใยธรรมชาติที่มีความแข็งแรง คงทนมากที่สุด แต่ผ้าลินินจะยับได้ง่าย และเวลารีดก็จะเรียบได้ยาก แต่ปัจจุบันมีการพัฒนากระบวนการในการผลิตเส้นด้ายที่มีประสิทธิมากขึ้น ทำให้เสื้อผ้าที่ผลิตจากผ้าลินินรีดได้เรียบง่ายขึ้น จึงทำเป็นเป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้น
ผ้าขนสัตว์ (Wool Fabric)
ผ้าวูลคือ ผ้าที่ทำจากขนสัตว์ชนิดต่างๆ ขนสัตว์อันดับหนึ่งที่นำมาทอแล้วได้ผ้าวูลคุณภาพพรีเมียม เนื้อนุ่ม คือ ขนแกะ จากประเทศออสเตรเลีย และต้องเป็นแกะพันธุ์ที่ดีที่สุดอย่าง ขนแกะพันธุ์เมอริโน (Merino) หรือจะเป็นขนแพะแคชเมียร์ (Cashmere) คุณสมบัติของผ้าวูล (Wool) เป็นผ้าที่นิยมที่สุดสำหรับการตัดสูท เพราะทนทาน สวมใส่ได้ทั้งหน้าร้อนและหน้าหนาว มีการระบายอากาศได้ดีทั้งตอนร้อนและเย็น ดูหรูหรา เนื้อสัมผัสที่นุ่มมาจากขนสัตว์แท้ๆ อีกทั้งยังยับได้ยาก ผ้าจะทิ้งตัวได้ดีเพียงแค่แขวนเท่านั้น
2. ผ้าจากเส้นใยสังเคราะห์ (Types of Synthetic Fabrics )
ผ้าใยสังเคราะห์ คือผ้าที่ผลิตจากสารเคมีที่มนุษย์สร้างขึ้น แล้วผลิตเป็นผืนผ้า เสื้อผ้าที่ทำจากใยสังเคราะห์สามารถดูแลรักษาได้ง่าย ไม่ค่อยยับ มีความยืดหยุ่น แต่ระบายอากาศได้ไม่ดีนัก ไม่ค่อยดูดซึมน้ำ
ผ้าโพลีเอสเตอร์ (Polyester Fabric)
คือเส้นใยสังเคราะห์ที่เกิดจากกระบวนการเคมีของ Ethylene Glycol และ กรด Terephthalic ซึ่งถ้าให้พูดง่าย ๆ ก็คือเส้นใยที่ถูกผลิตมาจากพลาสติกนั่นเอง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เส้นใยโพลีเอสเตอร์ มีความเหนียว ทนทาน สามารถนำไปผสมกับเส้นใยชนิดอื่น เช่น ลินิน ฝ้าย ไหม ขนสัตว์ เป็นต้น มันจะช่วยให้มีความคงทนมากยิ่งขึ้น คุณสมบัติของผ้าโพลีเอสเตอร์ (Polyester) ดูแลง่าย มีความคงทน ยับยาก น้ำหนักเบา แต่สามารถดูดความชื้นได้น้อย และเมื่อใส่ไปนานๆ เนื้อผ้าอาจจะเป็นขุยได้
ผ้าไนลอน (Nylon Fabric)
ผลิตจากการรวมตัวของปิโตรเคมี ผ่านกรมวิธีทางเคมี และผลิตออกมาเป็นเส้นใย โดยส่วนมากผ้าไนลอนจะไม่ค่อยนิยมนำมาผลิตเป็นเสื้อผ้า เพราะเวลาสวมใส่จะไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่นัก แต่ถ้าหากนำมาผลิตเป็นเสื้อผ้าก็จะมีราคาที่ไม่สูง ส่วนมากจะผลิตเป็นกระเป๋า ร่ม ถุงผ้าไนลอนมากกว่า คุณสมบัติของผ้าไนลอน (Nylon) มีความแข็งแรง ทนทานมาก ไม่ยับง่าย เนื้อผ้าสามารถทรงตัวได้ดี ทนต่อเชื้อราและการถูกขัดสีได้ดี
ผ้าสแปนเด็กซ์ (Spandex Fabric)
เป็นเส้นใยที่อยู่ในประเภท อีลาสโตเมอร์ ประกอบด้วยโพลิยูริเทน (polyurethane) เส้นใยสแปนเด็กซ์ที่ผลิตขึ้นชนิดแรกมีชื่อว่า ไลคร้า (Lycra) คุณสมบัติของผ้าสแปนเด็กซ์ (Spandex) มีความยืดหยุ่นได้ดี เมื่อยืดออกแล้วปล่อยกลับก็จะคงอยู่ในรูปทรงเดิม มีน้ำหนักที่เบาสบาย
ผ้าเรยอน (Rayon Fabric)
ผ้าเรยอนผลิตมาจากเส้นใยสังเคราะห์ที่ประกอบด้วยเซลลูโลสหรือไหมเทียม เส้นใยไฟเบอร์ที่สร้างขึ้นโดยการนำเอาเปลือกไม้มาย่อยสลายในสารเคมี แล้วเอาเรยอนเหลวฉีดออกมาเป็นไฟเบอร์ คุณสมบัติของผ้าเรยอน (Rayon) เนื้อผ้านุ่ม ลื่น มันเงา สามารถระบายความร้อนได้ แต่ก็ยังไม่สามารถสู้ผ้าฝ้ายได้ ส่วนมากคนจะนิยมมาใช้ทดแทนเสื้อผ้าที่ผลิตจากผ้าฝ้าย เพื่อลดต้นทุนการผลิต เพราะราคาถูกกว่า
NK SEPTEMBER (เอ็นเค เซปเทมเบอ)